แบบจำลองของวอคเกอร์
วอคเกอร์ไม่เห็นด้วยกับแบบจำลองจุดประสงค์หรือแบบจำลองเชิงเหตุผลของกระบวนการหลักสูตร และเห็นว่าแบบจำลองจุดประสงค์ไม่เป็นที่นิยมและไม่ประสบความสำเร็จ วอคเกอร์กล่าวว่าผู้พัฒนาหลักสูตรไม่ได้ทำตามวิธีการที่พรรณนาขั้นตอนเหตุผลขององค์ประกอบของหลักสูตร เมื่อมีการสร้างหลักสูตร นักพัฒนาหลักสูตรเหล่านั้นดำเนินการด้วยขั้นตอน 3 ขั้นตามธรรมชาติ ดังภาพประกอบ 20
ข้อสรุปดังกล่าวข้างต้นมาจากการวิเคราะห์รายงานโครงการหลักสูตรและการเข้าร่วมโครงการหลักสูตรของวอคเกอร์ การวิเคราะห์นี้นำไปสู่การพรรณนาว่าอะไรคือสิ่งที่วอคเกอร์เห็นว่าเป็นแบบจำลอง
“ธรรมชาติ” ของกระบวนการหลักสูตรเป็นแบบจำลองธรรมชาติในความ
รู้สึกที่ว่า สร้างขึ้นเพื่อเป็นตัวแทนของประสบการณ์และความสัมพันธ์ที่สังเกตได้ในโครงการ
หลักสูตรที่เป็นอยู่ในเวลานั้นด้วยความศรัทธาในหลักการเท่าที่จะเป็นไปได้
ในขั้นแรกของวอคเกอร์สนับสนุนว่า “ฐาน”
ประกอบด้วยการผสมผสานความคิดที่หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
แง่คิด ความเห็นความเชื่อ และค่านิยม ซึ่งเกี่ยวข้องกับหลักสูตรสิ่งเหล่านี้อาจจะนิยามได้อย่างมีเหตุผล มีความชัดเจน และก่อตัวเป็นฐานของการตัดสินใจของผู้พัฒนาหลักสูตร
ในภาพ 9.8 แบบจำลองกระบวนการหลักสูตรของวอคเกอร์แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างขั้นแรกและขั้นย่อยๆ
หลังจากนั้น วอคเกอร์ได้ยืนยันว่า ผู้พัฒนาหลักสูตรไม่ได้เริ่มต้นด้วย “กระดานชนวนที่ว่างเปล่า (blank
slate)” แต่เริ่มด้วยการอาศัย ค่านิยม มโนทัศน์ และอื่นๆ
เป็นฐานในการสร้างหลักสูตร ฐานหมายรวมถึงความคิดว่า
อะไรคือฐานและฐานควรจะเป็นอย่างไรด้วยสิ่งเหล่านี้ช่วยผู้พัฒนาหลักสูตรในการตัดสินใจว่าควรจะทำอย่างไร
เมื่อปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเริ่มต้นขึ้นก็แสดงว่าเริ่มเข้าสู่ระยะของการปรึกษาหารือ(deliberation) วอคเกอร์ได้ยืนยันว่า การอภิปราย ปรึกษาหารือในเรื่องที่เกี่ยวกับฐาน
ก่อให้เกิดสถานการณ์ที่ผู้พัฒนาหลักสูตรแสวงหาเพื่อที่จะทำให้ความคิดมีความชัดเจนและสอดคล้องกันระยะนี้อาจจะเห็นความยุ่งเหยิงได้ เป็นระยะที่ก่อให้เกิดความส่องสว่างในการพิจารณา
ระยะของการปรึกษาหารือนี้ไม่มีปรากฏอยู่ในขั้นของแบบจำลองจุดประสงค์ เป็นระยะของการสุ่มความมีปฏิสัมพันธ์ที่ซับซ้อนของผู้พัฒนาหลักสูตรด้วยกันซึ่งปรากฏความสำเร็จในภูมิหลังของงานจำนวนมากก่อนที่จะมีการออกแบบหลักสูตร
ขั้นสุดท้ายของการจำลองนี้คือ “การออกแบบ”
ในระยะนี้ผู้พัฒนาหลักสูตรจะตัดสินใจเกี่ยวกับกระบวนการที่หลากหลายขององค์ประกอบของหลักสูตร
การตัดสินใจจะเกิดขึ้นหลังจากที่ได้มีการอภิปรายอย่างกว้างขวางและประนีประนอมความคิดของแต่ละบุคคลเข้าด้วยกัน
การตัดสินใจนั้นจะได้รับการบันทึกไว้
และใช้เป็นฐานสำหรับเอกสารหลักสูตรหรือวัสดุหลักสูตรที่มีความเป็นเฉพาะอย่าง
สรุปว่า แบบจำลองนี้ เป็นการพรรณนาพื้นฐาน (primary descriptive)
ในขณะที่แบบจำลองดั้งเดิมเป็นเงื่อนไขหรือข้อกำหนด (prescriptive) แบบจำลองนี้โดยพื้นแล้วเป็นไปตามโลก สิ่งที่เป็นหลักประกอบด้วย การเริ่มต้น
(ฐาน) จุดหมายปลายทาง (การออกแบบ) และกระบวนการ
(การปรึกษาหารือ) โดยอาศัยวิธีการจากจุดเริ่มต้นไปจนถึงจุดหมายปลายทาง
ในทางกลับกัน แบบจำลองดั้งเดิม (classical
model) เป็นแบบจำลอง วิธีการจุดหมายปลายทาง (means-end model)
ประกอบด้วยจุดหมายปลายทางที่ต้องการ (จุดประสงค์) วิธีการที่จะบรรลุจุดหมายปลายทาง
(ประสบการเรียนรู้) และกระกระบวนการ (การประเมินผล)
เพื่อที่จะตัดสินใจว่า วิธีการนั้นโดยแท้จริงแล้ว
นำไปสู่จุดหมายปลายทางหรือไม่แบบจำลองทั้งสองแตกต่างกันในบทบาทตามจุดประสงค์
และการประเมินผลในกระบวนการของการพัฒนาหลักสูตรตามที่กำหนด
5. แบบจำลองสกิลเบค
แบบจำลองปฏิสัมพันธ์หรือแบบจำลองที่ไม่หยุดนิ่งที่กำหนดโดยสกิลเบคซึ่งเป็นอดีตผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาหลักสูตรของประเทศออสเตรเลียเป็นนักการศึกษาที่เป็นที่รู้จักกันดีในปี
ค.ศ.1976 ได้แนะนำวิธีการสร้างหลักสูตรระดับโรงเรียนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการพัฒนาหลักสูตรโดยอาศัยโรงเรียนเป็นฐาน
(School-Based Curriculum Development: SBCD)
สกิลเบคจัดเตรียมแบบจำลองที่ทำให้ครูสามารถพัฒนาหลักสูตรที่เหมาะสมบนพื้นฐานของความเป็นจริง
แบบจำลองดังกล่าวนี้อาจได้รับการพิจารณาว่าเคลื่อนไหวไปตามธรรมชาติซึ่งเป็นความตั้งใจอันแน่วแน่ของสกิลเบค
แบบจำลองปฏิสัมพันธ์หรือแบบจำลองที่ไม่หยุดนิ่ง (เคลื่อนไหว)
เป็นแบบจำลองที่ผู้พัฒนาอาจจะตั้งต้นด้วยองค์ประกอบใดๆ ของหลักสูตร
และดำเนินไปตามลำดับใดๆ ก็ได้มากกว่าที่จะตรึงติดอยู่กับขั้นตอน เช่น แบบจำลองเชิงเหตุผล สกิลเบคสนับสนุนความคิดนี้และกล่าวว่า
เป็นความสำคัญที่ผู้พัฒนาหลักสูตรต้องรับรู้แหล่งที่มาของจุดประสงค์เหล่านั้นและในการที่จะเข้าใจแหล่งที่มานี้มีการวิเคราะห์สถานการณ์
สกิลเบคให้เหตุผลว่าเพื่อให้ศูนย์พัฒนาหลักสูตรทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ต้องอาศัยกระบวนการห้าขั้นในกระบวนการหลักสูตร แบบจำลองความประยุกต์ให้มีความเท่าเทียมกันในกระบวนการหลักสูตร
ระบบการสังเกต และประเมินผลหลักสูตร และการวิเคราะห์ทฤษฎีหลักสูตร
สกิลเบคไม่เห็นด้วยกับลำดับเหตุผลของแบบจำลองเหตุผลว่าเป็นเหตุผลโดยธรรมชาติแนะนำว่าผู้พัฒนาหลักสูตรอาจจะเริ่มต้น การวางแผนหลักสูตรในขั้นๆ ก่อนก็ได้ และจะดำเนินในลำดับใดๆ ก็ได้ บางครั้งแบบจำลองนี้ก่อให้เกิดความสับสนคือ ในความเป็นจริงแล้วดูเหมือนสนับสนุนวิธีการเชิงเหตุผลในการพัฒนาหลักสูตร อย่างไรก็ตาม สกิลเบคกล่าวว่า แบบจำลองไม่ได้แสดงนัยของการวิเคราะห์วิธีการและจุดหมายปลายทาง แต่แสดงนัยในการสนับสนุนทีมหรือกลุ่มผู้พัฒนาหลักสูตรให้พิจารณาข้อความจริงเกี่ยวกับองค์ประกอบและลักษณะของกระบวนการพัฒนาหลักสูตรที่แตกต่างกัน เพื่อให้มองกระบวนการว่าเป็นสิ่งมีชีวิต และทำงานในลักษณะของวิธีการเชิงระบบ
เป็นการยากที่จะสรุปแบบจำลองนี้ วิธีที่ดีที่สุด คือการแจกแจงเป็นตารางตามที่สกิลเบค
ได้สร้างไว้ คือ
มิติการกำหนดการพรรณนา ยืนยันว่าแบบจำลองอาจจะได้รับการวิเคราะห์ในรูปขององศา ซึ่งต้องการขั้นตอนตามลำดับเหตุการณ์แบบจำลองที่ค่อนไปการกำหนดมากต้องการนักพัฒนาหลักสูตรที่ติดตามกิจกรรมอย่างเดียว แบบจำลองที่มีข้อกำหนดต่ำ (มีการพรรณนาสูง)
จะมีความยืดหยุ่นมากกว่าและเน้นว่าอะไรได้บังเกิดขึ้นมากกว่าอะไรควรจะเกิดขึ้นพร้อมกับการพัฒนาหลักสูตร
ส่วนมิติเหตุผล/การไม่หยุดนิ่ง แย้งว่า แบบจำลองรูปแบบมีเหตุผลมีขั้นตอนและอยู่บนพื้นฐานของจุดประสงค์ในการพัฒนาหลักสูตร
แบบจำลองการพัฒนาหลักสูตรอาจจะมีเหตุผลน้อย
และมีปฏิสัมพันธ์มากในการสุ่มแบบไม่มีขั้นตอน ภาพประกอบ 22 ได้จัดเตรียมการพัฒนาหลักสูตรแบบง่ายๆ
ด้วยสารตาที่ต่างออกไปเพื่อการเลือกแบบจำลองที่เหมาะสม
ท่านชอบแบบจำลองการพัฒนาหลักสูตรแบบใดมากกว่า
ก็สามารถใช้ดุลพินิจในการตัดสินทางมิติทั้งสองที่ได้พรรณนาแล้วข้างต้น
แบบจำลองการพัฒนาหลักสูตรของนักการศึกษาอื่นๆ
นอกจากแบบจำลองการพัฒนาหลักสูตรที่กล่าวถึงแล้ว
ยังมีแบบจำลองการพัฒนาหลักสูตรตามแนวคิดของนักการศึกษาและนักพัฒนาการอื่นๆ อีก
เช่น เซเลอร์ และ อเล็กซานเดอร์ (Saylor and Alexander)
และลีวีส (Saylor Alexander and Lewis) พริ้นท์ (Print) และโอลิวา (Oliva)
6.
แบบจำลองของเซเลอร์และอเล็กซานเดอร์
ในการทำความเข้าใจกับแบบจำลองการพัฒนาหลักสูตรของ เซเลอร์
และอเล็กซานเดอร์ก่อนอื่นการวิเคราะห์มโนทัศน์ของ “หลักสูตร” และ
“การวางแผนหลักสูตร”
เสียก่อนในตอนต้นของบทนี้ได้มีการกล่าวถึงนิยามและมโนทัศน์ของหลักสูตรในหลายทัศนะ
และมีอยู่ทัศนะหนึ่งที่กล่าวว่า หลักสูตร เป็น “แผนการสำหรับการจัดเตรียมชุดของโอกาสในการเรียนรู้สำหรับบุคลที่จะเข้ารับการศึกษา” อย่างไรก็ตามแผนหลักสูตร สำหรับแต่ละส่วนของหลักสูตรที่มีความเฉพาะเจาะจง
แบบจำลองการพัฒนา/แผนหลักสูตรของเซเลอร์และอเล็กซานเดอร์ประกอบด้วยห้าขั้นตอนคือ 1. การศึกษาตัวแปรภายนอก (external variables) ได้แก่ภูมิหลังของนักเรียนสังคม
ธรรมชาติของการเรียนรู้ แผนการศึกษาแห่งชาติ
ทรัพยากรและความสะดวกสบายในการดำเนินงานพัฒนาหลักสูตร
ผลการรายงานการวิจัยค้นคว้าต่างๆ และคำแนะนำของผู้ประกอบวิชาชีพ 2. การกำหนดเป้าประสงค์ จุดประสงค์ และขอบเขต 3. การออกแบบ หลักสูตร 4. การนำหลักสูตรไปปฏิบัติ
: การเรียนการสอน และ 5. การประเมินผลหลักสูตร
ดังภาพประกอบ
อเล็กซานเดอร์ แสดงวิธีการวางแผนหลักสูตรระดับชาติของ
เซเลอร์และอเล็กซานเดอร์เช่นกัน เมื่อพิจารณาหลักสูตรของเซเลอร์
และ อเล็กซานเดอร์ พบว่ามีการเน้นเกี่ยวกับพื้นฐานเป็นอย่างมาก
เป็นแบบจำลองที่ออกแบบเพื่อแนะนำกระบวนการเลือกกิจกรรมของผู้เรียน ความแกร่งเป็นพิเศษของผู้ออกแบบจำลองนี้คือ
มีความครอบคลุมกว้างขวางในรูปของการเชื่อมโยงหลักสูตรเข้ากับการเรียนการสอน
ด้วยการแสดงให้เห็นว่าวิธีการสอนต่างๆ (Teaching methods)
และกลยุทธ์การสอน (Teaching strategies) ต่างๆ
เป็นผลมาจากการวางแผนหลักสูตร ความแกร่งที่สำคัญอื่นๆ
แบบจำลองนี้คือ ทุกขั้นตอนในกระบวนการพัฒนาหลักสูตรอาศัยหลักพื้นฐานทางสังคม ปรัชญา และจิตวิทยา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น